ประวัติสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง
ทศวรรษแรก (ปี 2503-2513
สร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวสวนยาง
การดำเนินงานในทศวรรษแรก สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์
มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมีสำนักงานส่วนภูมิภาคตั้งอยู่ในเขตปลูกยางหนาแน่น
ในภาคใต้ และภาคตะวันออก รวม 6 เขต ได้แก่ ภูเก็ต นครศรีธรรมราช สงขลา
ยะลา และจันทบุรี มีขุนวิจิตรพาหนการเป็นผู้อำนวยการ คนแรก ดำรงตำแหน่งระหว่างวันที่
1 มกราคม 2504 30 กันยายน 2508 คณะทำงานชุดแรกเป็นพนักงานที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านการเกษตรจำนวน
11 คนเป็นหลัก ทำงานทั้งด้านภาคสนามและการเงินการบัญชี ซึ่งพนักงานชุดแรกนี้ต่อมาได้เป็น
ผอ.สกย. ถึง 3 คน คือนายณรงค์ สุจเร นายสมศักดิ์ โรหิตรัตนะ และนายเสวต
ทองรมย์
หลังจากนั้นอีกประมาณ 5-6 เดือน จึงมีพนักงานด้านการเกษตรและด้านการเงินและบัญชี
เข้ามาปฏิบัติงานเสริมอีก 25 คน ทำให้การสงเคราะห์ดำเนินการได้รวดเร็ว
และคล่องตัวยิ่งขึ้น
ด้วยความที่งานด้านการสงเคราะห์เป็นงานใหม่ของประเทศไทย การทำงานในยุคเริ่มต้นจึงประสบความลำบาก
ในการทำความเข้าใจกับประชาชนพอสมควร แต่ด้วยความมุ่งมั่นและอุดมการณ์อันแรงกล้า
ที่จะพลิกสถานการณ์การผลิตยางของประเทศ และนำมาซึ่งความอยู่ดีกินดีของชาวสวนยางในขณะนั้น
ทำให้เกษตรกรเข้าใจในเหตุผลและประโยชน์ที่จะได้รับในที่สุด อีกทั้งให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจเป็นอย่างสูง
อย่างที่ไม่มีหน่วยงานราชการใดเคยได้รับมาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่พนักงาน สกย. ต้องจดจำไว้เป็นพิเศษ
คือในช่วงปี 2505 หลังจากก่อตั้ง สกย. เพียง 2 ปีเศษ ได้เกิดวาตภัยครั้งใหญ่ที่
จ. นครศรีธรรมราช ส่งผลให้ประชาชนต้องประสบความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน
สกย. ได้ระดมพนักงานจำนวนมาก ไปช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ประสบภัยพิบัติอันร้ายแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
พนักงาน สกย. ทั้งหมดต่างเร่งเข้าไปในพื้นที่ ระดมพลังทุ่มเทความสามารถที่มีอยู่
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรผู้ประสบภัยเหล่านั้น อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
แม้ทุกคนจะทุกข์กายแต่ต่างสุขใจและภาคภูมิที่ได้ช่วยเหลือสังคมอย่างเต็มกำลัง
ทำให้ชื่อเสียงของ สกย. โดดเด่นขึ้นมาอยู่ในความทรงจำของชาวสวนยางพาราทั่วไป
ในช่วงปลายทศวรรษ เมื่อผู้อำนวยการคนใหม่คือ นายชุบ
มุนิกานนท์ เข้ามาสานงานต่อ ราวปลายปี 2508 จึงขยายการบริการจากเขตสงเคราะห์ยาง
6 เขต เป็นสำนักงานกองทุนสงเคราะห์ยางจังหวัด รวม 12 จังหวัด ในปี
2511 คือ จันทบุรี ระยอง ภูเก็ต กระบี่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
ตรัง พัทลุง สงขลา ยะลา และนราธิวาส ทั้งนี้เพื่อให้การบริการเกษตรกรเป็นไปอย่างทั่วถึงและครอบคลุมพื้นที่ปลูกยางได้มากที่สุด
เงินที่ใช้ในการสงเคราะห์และบริหารงานของ สกย. ในทศวรรษนี้
ใช้จากเงินสงเคราะห์รับ (CESS) ทั้งหมด ซึ่งสามารถให้การสงเคราะห์ได้ปีละประมาณ
22,000-77,000 ไร่
ทศวรรษที่ 2 (ปี 2514-2523)
ยุคทองของ สกย.
จากความสำเร็จของชาวสวนยางที่ปลูกแทนรุ่น แรก ๆ ทำให้ชาวสวนยางตื่นตัวให้ความสนใจ
ขอปลูกแทนในอัตราที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีอย่างรวดเร็ว เงินสงเคราะห์รับในแต่ละปี
ไม่สามารถตอบสนองความต้องการชาวสวนยางได้ทัน รัฐบาลจึงกู้เงินจากธนาคารโลก
50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจากบรรษัทพัฒนาแห่งเครือจักรภพ (CDC) 3.4 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง
เพื่อนำไปสมทบกับเงินสงเคราะห์รับ สำหรับใช้จ่ายในการเร่งรัดการปลูกแทนให้ได้ปีละ
132,500 ไร่ รวม 1 ล้านไร่ ในระยะเวลา 4 ปี (2520-2523)
ในช่วงทศวรรษนี้เอง ได้ย้ายสำนักงานใหญ่จากกระทรวงเกษตรฯ
มาตั้งอยู่เลขที่ 67/25 ถนนบางกอกน้อย-ตลิ่งชัน (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นถนนบางขุนนนท์)
แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพ จนกระทั่งปัจจุบัน การดำเนินการในทศวรรษนี้
ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายอย่างดียิ่ง มีจำนวนพนักงานเพิ่มขึ้น ตามปริมาณงานของ
สกย. ที่ขยายออกไป มีการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาเสริมการบริการและการบริหารงาน
เมื่อปลายปี 2521 และมีการพัฒนางานด้านการให้การสงเคราะห์ รวมทั้งปรับปรุงระบบบริหารและบริการ
เช่น การอบรมเจ้าของสวนสงเคราะห์ ขึ้นอีกหลายด้าน
ทศวรรษนี้ถือได้ว่า เป็นช่วงของการเร่งรัดงานปลูกแทนด้วยยางพันธุ์ดีให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เพื่อเพิ่มรายได้ให้เจ้าของสวนยางมีความเป็นอยู่ดีขึ้น สามารถให้การสงเคราะห์ได้รวมทั้งสิ้น
921,931 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 92 ของเป้าหมาย และนำเงินกู้ที่เหลือไปสมทบให้การสงเคราะห์ในปี
2524
ผู้นำองค์กรหรือผู้อำนวยการ สกย. ในทศวรรษนี้มีด้วยกัน
3 ท่าน คือ ดร.พิศ ปัญยาลักษณ ( 1 ตุลาคม 2515 - 17 มกราคม 2520) ดร.กมล
ชาญเลขา (1 มีนาคม 2520 - 30 กันยายน 2521) และนายณรงค์ สุจเร (1 ตุลาคม
2521 1 เมษายน 2533) ซึ่งเป็นพนักงานชุดแรกที่ทำงานกับ สกย.
ทศวรรษที่ 3 (ปี 2524-2533)
ยุคขยายตัวขององค์กร
ด้วยผลงานที่ดีเด่นในทศวรรษที่ผ่านมา
รัฐบาลเห็นความสำคัญของการปลูกแทนมากขึ้น จึงกู้เงินจากธนาคารโลก 141.3
ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจากบรรษัทพัฒนาแห่งเครือจักรภพ (CDC) 15 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง
อีกเป็นครั้งที่ 2 มาสมทบกับเงินสงเคราะห์รับ สำหรับใช้จ่ายในการให้การสงเคราะห์ปลูกแทน
โดยกำหนดเป้าหมาย 1.25 ล้านไร่ ในระยะเวลา 4 ปี (2525-2528) เพื่อให้การเร่งรัดการสงเคราะห์มีความต่อเนื่อง
ปรากฏว่าสามารถให้การสงเคราะห์ได้รวม 1.20 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 96
ของเป้าหมาย และได้นำเงินกู้ที่เหลือไปสมทบให้การสงเคราะห์ในปี 2529
อีก 265,763 ไร่
การเร่งรัดการปลูกแทนที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนยางมีความเป็นอยู่ดีขึ้น
และต้องการเร่งรัด ให้สวนยางเก่าหมดไปจากประเทศไทยโดยเร็วตามลำดับ
รัฐบาลจึงได้กู้เงินเป็นครั้งที่ 3 จากธนาคารโลก 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
และจากบรรษัทพัฒนาแห่งเครือจักรภพ (CDC) 10 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง เพื่อสมทบกับเงินสงเคราะห์รับ
นำมาใช้จ่ายในการให้การสงเคราะห์ปลูกแทนในเป้าหมาย 1.25 ล้านไร่ ระยะเวลาดำเนินการ
4 ปี (2530-2533) ปรากฏว่าสามารถให้การสงเคราะห์ได้ 0.98 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ
78 ของเป้าหมาย และได้นำเงินกู้ที่เหลือไปสมทบให้การสงเคราะห์ในปี
2534
หลังจากสิ้นสุดการเร่งรัดการปลูกแทนตามโครงการเงินกู้ในปี
2533 ทำให้มีพื้นที่ปลูกแทนด้วยยางพันธุ์ดีรวมถึง 5 ล้านไร่ ผลผลิตยางเฉลี่ยรวมของประเทศสูงเป็นไร่ละ
115 กิโลกรัม ช่วงปลายทศวรรษนี้ สกย. จึงได้รับมอบหมายภารกิจเพิ่มเติม
ด้วยการขยายการปลูกยางพันธุ์ดี ไปยังพื้นที่ใหม่ที่ไม่เคยมีสวนยางมาก่อน
ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามมาตรา 21 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง
โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2532 ให้ สกย. ดำเนินการทุนสงเคราะห์ปลูกยางแก่เกษตรกรภูมิภาคนี้
ในเป้าหมาย 156,250 ไร่ ระยะเวลา 5 ปี (2532-2536) เป็นการสนับสนุนโครงการอีสานเขียวของรัฐบาลในสมัยนั้น
ด้านการบริการ สกย. จัดตั้งสำนักงานฯ จังหวัดเพิ่มขึ้นจากเดิม
12 จังหวัด อีก 4 จังหวัด ได้แก่ จ.พังงา ชุมพร ปัตตานี และขอนแก่น
รวม 16 จังหวัด ส่วนสำนักงานกลาง ได้มีการขยายงานระดับฝ่ายออกเป็น
7 ฝ่าย 32 สำนักงาน และ 2 ศูนย์ มีจำนวนพนักงานถึง 2,110 คน
นอกจากนี้ สกย. ยังได้ให้การช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยางที่ประสบภัยธรรมชาติจากกรณีพายุ
เกย์ ที่ จ. ชุมพร ระนอง และประจวบคีรีขันธ์ ให้ปลูกยางพันธุ์ดีทดแทนตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
1 พฤษภาคม 2533 รวมเนื้อที่ 74,108 ไร่
ด้านความช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัย สกย. ให้การสงเคราะห์แก่ผู้ประสบภัยที่บ้านกระทูน
อ.พิปูน จ.นครศรีธรรมราช เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2531 โดยแบ่งการช่วยเหลือออกเป็น
2 กลุ่ม กลุ่มแรกอพยพครอบครัวเกษตรกรจำนวน 141 ครอบครัว ไปตั้งถิ่นฐานปลูกยางที่
ต.ดินอุดม กิ่ง อ.ลำทับ จ.กระบี่ และกลุ่มที่ 2 อพยพเกษตรกรจำนวน 168
ครอบครัว ไปปลูกยางที่นิคมสร้างตนเองควนกาหลง อ.ควนกาหลง จ.สตูล ซึ่งเกษตรกรทั้ง
2 กลุ่มได้รับการจัดสรรที่ดินให้ครอบครัวละ 15 ไร่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย
1 ไร่ และปลูกยาง 14 ไร่ โดย สกย. ให้การสงเคราะห์แบบให้เปล่า 2 ปีครึ่ง
และหลังจากนั้นเกษตรกรต้องกู้เงินจากแหล่งอื่นมาดำเนินการต่ออีก 5
ปี จนครบ 7 ปีครึ่ง ส่วน สกย. ยังคงให้การสนับสนุนด้านวิชาการตลอดระยะการสงเคราะห์
อนึ่งในช่วงปลายทศวรรษ สกย. ยังดำเนินโครงการ สินเชื่อการเกษตรและปลูกยางพาราแทนมันสำปะหลัง
(Agricultural Credit Project For Seasonal Lending and Rubber Planting)
ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ภายใต้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินจากกลุ่มประชาคมยุโรป
(EU) โดย สกย. ให้บริการตรวจสวนและให้ความรุ้ทางด้านวิชาการแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ
มีเป้าหมายปลูกยางทดแทนมันสำปะหลังในภาคตะวันออก จำนวน 96,230 ไร่
ระยะเวลา 5 ปี (2530-2534)
ผู้อำนวยการในทศวรรษนี้ได้แก่ นายณรงค์ สุจเร (1 ตุลาคม
2521 1 เมษายน 2533) และนายพาสกร จรูญรัตน์ (1 ตุลาคม 2534 30
กันยายน 2537)
ทศวรรษที่ 4 ( ปี 2534-ปัจจุบัน)
ทศวรรษแห่งการพัฒนา
กาลเวลาได้เดินผ่านพ้นไป 3 ทศวรรษ แต่สิ่งที่ยังคงดำรงอยู่ในทศวรรษที่
4 และจะดำเนินอย่างต่อเนื่องคือ การให้การสงเคราะห์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรภายใต้ปณิธาน
ผลผลิตเพิ่มหลายเท่าตัว ยังประโยชน์สุขต่อเกษตรกร อีกทั้งเพิ่มพลังเศรษฐกิจของชาติ
กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง จึงมุ่งช่วยปลูกแทนด้วยพืชพันธุ์ดี
ผลการปลูกแทนในรอบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลผลิตยางพารารวมทั้งประเทศสูงขึ้นจนเป็นประเทศที่มีผลผลิตยางธรรมชาติและส่งออกอันดับ
1 ของโลก แต่ปัญหาและอุปสรรคที่ สกย. พบเห็นคือรายได้ของเจ้าของสวนยางลดน้อยลงไปกว่าที่ควรจะได้รับ
และจะต้องรีบเร่งขจัด การกรีดยางไม่ถูกวิธี ขาดการบำรุงรักษาสวนยางที่ดี
และความไม่มีเสถียรภาพทางด้านราคา
ทศวรรษที่ 4 สกย. จึงมุ่งเน้นการแก้ปัญหาดังกล่าว นอกเหนือจากการเพิ่มผลผลิตน้ำยางให้มากขึ้นด้วยการลดต้นทุนการผลิตลงเช่น
การถ่ายทอดเทคโนโลยีการกรีดที่ถูกหลักวิชาการ ให้กับเจ้าของสวนสงเคราะห์
เพราะวิธีการกรีดเปลือกของลำต้นอย่างถูกหลักวิชาการเท่านั้น
ที่ช่วยเพิ่มระยะเวลากรีดให้เก็บผลผลิตได้นานยิ่งขึ้นและคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
ส่วนเสถียรภาพด้านราคายาง สกย. ได้ดำเนินการเปิดตลาดประมูลยางพาราระดับท้องถิ่น
ให้เกษตรกรมีสถานที่จำหน่ายผลผลิตในราคาที่เป็นธรรม และใช้เป็นจุดแทรกแซงตลาดยางพาราในช่วงที่ราคาตกต่ำ
ตามที่รัฐบาลมอบหมาย กระจายทั่วทุกพื้นที่ปลูกยางหนาแน่น
ส่วนการพัฒนาเจ้าของสวนสงเคราะห์ ซึ่งเป็นงานอีกประเภทหนึ่งที่
สกย. ดำเนินการเพื่อสนับสนุนโครงการสงเคราะห์ปลูกยาง ได้แก่ สนับสนุนให้ชาวสวนยางพาราเกิดการรวมเป็นกลุ่มพัฒนาสวนสงเคราะห์
ร่วมกันผลิตยางแผ่นคุณภาพดี เพื่อที่จะได้พัฒนาเป็นกลุ่มสหกรณ์กองทุนสวนยางต่อไป
พร้อมกันนี้ สกย. ได้จัดสร้างโรงอบ/รมยาง ให้สมาชิกเข้าไปดำเนินธุรกิจระบบสหกรณ์ในรูปของการผลิตยางแผ่นรมควัน
ยางแผ่นดิบหรือขายน้ำยางสด ตลอดจนสร้างโรงเรือนผลิตยางแผ่นดิบคุณภาพดี
พร้อมอุปกรณ์ให้กลุ่มชาวสวนยางที่มีปริมาณน้ำยาง รวมไม่เพียงพอต่อการสร้างเป็นโรงอบ/รมยาง
เป็นการยกระดับผลผลิตยางพาราของประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตรงกับความต้องการของตลาด
และระบบสหกรณ์ยังช่วยให้มีอำนาจต่อรองด้านราคา อีกทั้งยังสร้างคลังสินค้ามาตรฐานสำหรับเก็บยางพารา
ขนาดบรรจุ 940 และ 1,000 ตัน จำนวน 31 แห่ง
ระหว่างทศวรรษนี้ ปาล์มน้ำมันได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยอีกชนิดหนึ่งรัฐบาลจึงมอบหมายให้
สกย. ปลูกแทนยางเก่าด้วยปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี อันเป็นมาตรการหนึ่งในนโยบายแก้ปัญหาราคายางตกต่ำระยะยาว
ตามแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 และตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนายางพาราครบวงจร
ปี 2542-2546 ที่กำหนดให้ลดพื้นที่ปลูกยาง 3 แสนไร่ และให้ปลูกทดแทนด้วยเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่า
ด้วยศักยภาพที่พนักงาน สกย. มีอยู่ ปี 2536-2537 รัฐบาลจึงมอบหมายให้
สกย. ให้ดำเนินการสำรวจรังวัดที่ดินเพื่อออกเอกสารสิทธิ์ร่วมกับ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
(สปก.) ในพื้นที่ภาคใต้เพื่อให้เกษตรกรมีที่ทำกินที่ถูกต้องตามกฎหมายได้เร็วขึ้น
ตลอดจนได้รับความไว้วางใจ ให้ดำเนินการลดพื้นที่ปลูกกาแฟ และพริกไทยเพื่อแก้ปัญหาราคาตกต่ำโดยให้ปลูกไม้ยืนต้นอื่นทดแทน
เป็นผลให้ราคากาแฟและพริกไทยสูงขึ้นทันทีที่เริ่มโครงการ
อีกมาตรการหนึ่งที่ สกย. มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่สวนสงเคราะห์ยังไม่ได้รับผลผลิต
คือ จัดตั้งเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพเสริม ให้เกษตรกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำร้อยละ
3 รายละไม่เกิน 3 หมื่นบาท
ช่วงกลางทศวรรษ เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ
50 ปี สกย. ได้จัดโครงการรวมใจชาวสวนยางเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีโดยถ้วนทั่ว
และในปี 2542 อันเป็นช่วงที่ประเทศประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ
ประชาชนส่วนหนึ่งต้องย้ายกลับภูมิลำเนา สกย. ได้ร่วมกับกรมการจัดหางานและกรมประชาสงเคราะห์
จัดโครงการฝึกอาชีพกรีดยางพาราขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแก่ผู้ว่างงานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้อำนวยการ สกย. ในทศวรรษนี้ มี 5 ท่านด้วยกัน ได้แก่
นายสมศักดิ์ โรหิตรัตนะ(1 ตุลาคม 2537 30 กันยายน 2538) นายเสวต
ทองรมย์ (1 ตุลาคม 2538 30 กันยายน 2539) นางจำนูญ ฐิตะฐาน (1 ตุลาคม
2539 30 กันยายน 2540) นายโสภณ วัชรสินธุ์ (1ตุลาคม 2540 13 กันยายน
2542)
และนางสาวผ่องเพ็ญ สัมมาพันธ์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงผู้อำนวยการคนใหม่
ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2542 จนถึงปัจจุบัน
รอยต่อระหว่างทศวรรษ
ปี 2542 อันเป็นปีสุดท้ายก่อนก้าวขึ้นสู่ทศวรรษใหม่
นับเป็นหนึ่งของประวัติศาสตร์ยางพาราไทย ที่ยางพาราได้เข้ามาตั้งรากฐานจนเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศครบ
100 ปี และเป็นปีมหามงคลเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่พระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ
72 พรรษา หรือ 6 รอบ สกย. ได้มีกิจกรรมปลูกไม้ป่าในสวนยางเพื่อเพิ่มไม้ใช้สอย
คาดว่าจะมีไม้ป่าเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านต้น ซึ่งจะช่วยลดการบุกรุกพื้นที่ป่าได้เป็นอย่างดี
อันเป็นการช่วยรักษาสมดุลทางธรรมชาติอีกทางหนึ่ง สอดคล้องกับพระราชดำริของพระองค์ท่าน
และจะเป็นก้าวใหม่อีกก้าวหนึ่งของ สกย. ในทศวรรษต่อไป
ดำเนินการเปิดตลาดประมูลยางพาราระดับท้องถิ่น ให้เกษตรกรมีสถานที่จำหน่ายผลผลิตในราคาที่เป็นธรรม
และใช้เป็นจุดแทรกแซงตลาดยางพาราในช่วงที่ราคาตกต่ำ ตามที่รัฐบาลมอบหมาย
กระจายทั่วทุกพื้นที่ปลูกยางหนาแน่น
ส่วนการพัฒนาเจ้าของสวนสงเคราะห์ ซึ่งเป็นงานอีกประเภทหนึ่งที่
สกย. ดำเนินการเพื่อสนับสนุนโครงการสงเคราะห์ปลูกยาง ได้แก่ สนับสนุนให้ชาวสวนยางพาราเกิดการรวมเป็นกลุ่มพัฒนาสวนสงเคราะห์
ร่วมกันผลิตยางแผ่นคุณภาพดี เพื่อที่จะได้พัฒนาเป็นกลุ่มสหกรณ์กองทุนสวนยางต่อไป
พร้อมกันนี้ สกย. ได้จัดสร้างโรงอบ/รมยาง ให้สมาชิกเข้าไปดำเนินธุรกิจระบบสหกรณ์ในรูปของการผลิตยางแผ่นรมควัน
ยางแผ่นดิบหรือขายน้ำยางสด ตลอดจนสร้างโรงเรือนผลิตยางแผ่นดิบคุณภาพดี
พร้อมอุปกรณ์ให้กลุ่มชาวสวนยางที่มีปริมาณน้ำยาง รวมไม่เพียงพอต่อการสร้างเป็นโรงอบ/รมยาง
เป็นการยกระดับผลผลิตยางพาราของประเทศให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตรงกับความต้องการของตลาด
และระบบสหกรณ์ยังช่วยให้มีอำนาจต่อรองด้านราคา อีกทั้งยังสร้างคลังสินค้ามาตรฐานสำหรับเก็บยางพารา
ขนาดบรรจุ 940 และ 1,000 ตัน จำนวน 31 แห่ง
ระหว่างทศวรรษนี้ ปาล์มน้ำมันได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยอีกชนิดหนึ่งรัฐบาลจึงมอบหมายให้
สกย. ปลูกแทนยางเก่าด้วยปาล์มน้ำมันพันธุ์ดี อันเป็นมาตรการหนึ่งในนโยบายแก้ปัญหาราคายางตกต่ำระยะยาว
ตามแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 และตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนายางพาราครบวงจร
ปี 2542-2546 ที่กำหนดให้ลดพื้นที่ปลูกยาง 3 แสนไร่ และให้ปลูกทดแทนด้วยเศรษฐกิจที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่า
ด้วยศักยภาพที่พนักงาน สกย. มีอยู่ ปี 2536-2537 รัฐบาลจึงมอบหมายให้
สกย. ให้ดำเนินการสำรวจรังวัดที่ดินเพื่อออกเอกสารสิทธิ์ร่วมกับ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
(สปก.) ในพื้นที่ภาคใต้เพื่อให้เกษตรกรมีที่ทำกินที่ถูกต้องตามกฎหมายได้เร็วขึ้น
ตลอดจนได้รับความไว้วางใจ ให้ดำเนินการลดพื้นที่ปลูกกาแฟ และพริกไทยเพื่อแก้ปัญหาราคาตกต่ำโดยให้ปลูกไม้ยืนต้นอื่นทดแทน
เป็นผลให้ราคากาแฟและพริกไทยสูงขึ้นทันทีที่เริ่มโครงการ
อีกมาตรการหนึ่งที่ สกย. มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่สวนสงเคราะห์ยังไม่ได้รับผลผลิต
คือ จัดตั้งเงินทุนหมุนเวียนเพื่อประกอบอาชีพเสริม ให้เกษตรกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำร้อยละ
3 รายละไม่เกิน 3 หมื่นบาท
ช่วงกลางทศวรรษ เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ
50 ปี สกย. ได้จัดโครงการรวมใจชาวสวนยางเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อให้เกษตรกรชาวสวนยางได้ร่วมแสดงความจงรักภักดีโดยถ้วนทั่ว
และในปี 2542 อันเป็นช่วงที่ประเทศประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ
ประชาชนส่วนหนึ่งต้องย้ายกลับภูมิลำเนา สกย. ได้ร่วมกับกรมการจัดหางานและกรมประชาสงเคราะห์
จัดโครงการฝึกอาชีพกรีดยางพาราขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแก่ผู้ว่างงานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้อำนวยการ สกย. ในทศวรรษนี้ มี 5 ท่านด้วยกัน ได้แก่
นายสมศักดิ์ โรหิตรัตนะ(1 ตุลาคม 2537 30 กันยายน 2538) นายเสวต
ทองรมย์ (1 ตุลาคม 2538 30 กันยายน 2539) นางจำนูญ ฐิตะฐาน (1 ตุลาคม
2539 30 กันยายน 2540) นายโสภณ วัชรสินธุ์ (1ตุลาคม 2540 13 กันยายน
2542)
และนางสาวผ่องเพ็ญ สัมมาพันธ์ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงผู้อำนวยการคนใหม่
ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2542 จนถึงปัจจุบัน
รอยต่อระหว่างทศวรรษ
ปี 2542 อันเป็นปีสุดท้ายก่อนก้าวขึ้นสู่ทศวรรษใหม่
นับเป็นหนึ่งของประวัติศาสตร์ยางพาราไทย ที่ยางพาราได้เข้ามาตั้งรากฐานจนเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศครบ
100 ปี และเป็นปีมหามงคลเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสที่พระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุครบ
72 พรรษา หรือ 6 รอบ สกย. ได้มีกิจกรรมปลูกไม้ป่าในสวนยางเพื่อเพิ่มไม้ใช้สอย
คาดว่าจะมีไม้ป่าเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ล้านต้น ซึ่งจะช่วยลดการบุกรุกพื้นที่ป่าได้เป็นอย่างดี
อันเป็นการช่วยรักษาสมดุลทางธรรมชาติอีกทางหนึ่ง สอดคล้องกับพระราชดำริของพระองค์ท่าน
และจะเป็นก้าวใหม่อีกก้าวหนึ่งของ สกย. ในทศวรรษต่อไป
|